VO2 Max Test
ที่ติดไว้นานแล้วแต่ไม่ได้เขียนเลย ก็คือจะมาเม้าท์ต่อเรื่อง VO2 Max นี่ล่ะค่ะ ถ้าลองนึกถึงกีฬาประเภทที่ใช้แรงตัวเองล้วนๆ แบบ การวิ่ง หรือว่ายน้ำ ก็คงจะคุ้นเคยกับการฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มความสามารถทางร่างกายในขณะออกกำลังกายช่วงแอโรบิกให้ถึงขีดสุด (ซ้อมเพิ่ม VO2 Max)
แต่ในความเป็นจริงแล้วกีฬาจักรยาน โดยเฉพาะในเกมการแข่งแบบทัวร์ หรือ Roadbike นั้นรูปแบบการใช้พลังงานและเกมการแข่งขันจะต่างไปจากการแข่งวิ่งอย่างสิ้นเชิงเลย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เพื่อนๆ นักวิ่งที่หันมาเล่นกีฬาจักรยานปุ๊บ แล้วมักจะวางแผนการซ้อมผิดเลยก็คือ การมุ่งซ้อมเพื่อเพิ่ม Aerobic Performance ตัวอย่างเช่น การซ้อมหนักๆ ที่โซน 3 หรือ 4 จนหมดแรงแล้วเก็บจักรยานขึ้นรถกลับบ้าน! เอาจริงๆ เราก็เคยเป็นเหมือนกันนั่นแหล่ะ (เป็นพวกเสพติดเอ็นโดฟีนเวลาออกกำลังกายแบบเสียเหงื่อมากๆ แล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่านะ) ในทางกลับกันจากคนที่เริ่มวิ่ง แล้วพอมาปั่นจักรยานมากๆ และสนุกกับเกมปั่นทางไกล หรือเกมกีฬาแบบ Roadbike ก็กลับพบว่าการมุ่งซ้อมในโซน 3 หรือ 4 อย่างเดียวกลับไม่ทำให้ระยะทำการเราเพิ่มขึ้นเลย หนำซ้ำออกทริปแต่ละทีก็หมดแล้วหมดอีก จนต้องมาศึกษาหาข้อมูล และพูดคุยปรึกษาเพื่อหาแนวทางซ้อมใหม่ ว่าเรายังขาดทักษะอะไร หรือต้องปรับวิธีการซ้อมอย่างไรให้รู้จักใช้พลังงาน เก็บพลังงาน รงมถึงการเติมพลังงานอย่างเหมาะสม (นี่เรากำลังพูดถึงพวกหมกมุ่นในระยะกับเสพติดความทรมานบันเทิงบนหลักอานที่ออกทริปกัน 3 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน หรือ ชอบออกทริปเกิน 100km นะคะ!)
ที่เกริ่นๆ มาข้างบน นี้คือการบ่นถึงที่มาที่ไปของการหมกมุ่นหาความรู้ดูทฤษฎี เห็นอะไรว่าน่าจะมีโยชน์ดีก็มาเล่าหน่ะ วันนี้เรื่องราวก็ต่อจากบทความอธิบาย VO2 Max คราวก่อน โดยจะมาเล่าวิธีการทดสอบในแลปกีฬาต่างประเทศค่ะ
ในขณะที่การค้นคว้าข้อมูลซินดี้ดำเนินไป....ก็พบว่าการทดสอบ VO2 Max เป็นที่นิยมกันและมักจะทำควบคู่ไปกับการทดสอบ Lactate ในขณะที่สถาบันการกีฬาของมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาก็มีบริการทดสอบสมรรถภาพดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ (ในประเทศไทยกับพบสถานที่ให้บริการเพียงไม่กี่ที่เท่านั้น)
การทดสอบในแลปนักกีฬา
ซินดี้ค้นไปเจอบันทึกประสบการณ์การทดสอบของนักกีฬาท่านหนึ่งที่ศูนย์กีฬา Racefit Oxford Brooks วิธีการทดสองนั้นแบ่งออกเป็น 2 ช่วง เริ่มต้นจากการทำ step test โดยให้นักกีฬาปั่นจักรยานไป และเพิ่มความหนืดจาก 100 วัตต์ เพิ่มทีละ 25 วัตต์ ขึ้นไปจนถึง 225 วัตต์ โดยมีการใส่หน้ากากเชื่อมกับท่อหายใจ ระหว่างปั่นก็จะมีโค้ชคอยเจาะเลือดออกจากปลายนิ้วนางมือซ้าย เพื่อหาค่าแลคเตทในเลือดที่ความหนักระดับต่างๆ การทดสอบขั้นนี้ถูกบังคับให้ใช้รอบขา 90 rpm ทุกๆ ความหนืดที่เพิ่ม และเพิ่มรอบขาเป็น 100rpm ที่ความหนัก 225 วัตต์ ในระหว่างทดสอบนั้นโค้ชจะบันทึกลักษณะอาการทางร่างกายอย่างอื่นประกอบไปด้วย ทั้งนี้ ส่วนหน้ากากที่เชื่อมกับท่อหายใจนั้นจะเป็นตัววัดค่า VO2 และ VCO2 และผลการทดสอบทำให้ได้ค่า RER ซึ่งจะบอกอัตราส่วนการใช้ ไขมันต่อคาร์โบไฮเดรต จากนั้นนักกีฬาจะได้พัก 20 นาที
การทดสอบครั้งที่สอง คือ การทำ ramp test ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกับ step test แต่ต่างกันที่ให้เพิ่มทีละ 25 วัตต์ ทุกๆ 1 นาที จนนักกีฬาไม่สามารถคุมรอบขาที่ 90 rpm ได้อีก การทดสอบนี้ทำให้นักกีฬาทราบค่าพละกำลังสูงสุดของร่างกายที่ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (VO2 Max) นอกจากนี้ยังบอกปริมาตรออกซิเจนที่ร่างกายใช้ในการเผาผลาญพลังงานอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ค่าพละกำลังสูงสุดนี้ของแต่ละคนก็ขึ้นอยู่กับขนาดรูปร่างของนักกีฬาด้วย นอกจากนี้การทดสอบยังสามารถบอกได้ว่าในร่างกายนักกีฬามีปริมาณไขมันที่ยังสามารถลดได้อีกเท่าไหร่ ก็จะมีประโยชน์ต่อนักปั่นสายไต่เขาที่อยากจะรีดไขมันอันไม่จำเป็นออกจากร่างกายลงไป
กลับมาเรื่องพาวเวอร์ หรือพละกำลัง (วัตต์) ที่ใคร ๆ ก็อยากมีเพิ่ม เพราะนั้นหมายความว่าการซ้อมที่ผ่านมาของเราส่งผลให้เกิดการพัฒนาทางกายภาพ เป็นตัวแปรสำคัญที่บอกว่านักกีฬามีสมรรถนะที่ดีขึ้น
Power เวลาพูดถึงพละกำลัง (วัตต์) หรือ Power เราต้องเคลียร์ให้ชัดก่อนว่า เราจะพูดถึงพละกำลังแบบต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด (Sustainable Power) หรือ พละกำลังสูงสุด (Maximum Power, Top End Power)
การทดสอบ Step test ในขั้นแรกจะบอกค่า FTP (Functional Threshold Power) หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นพละกำลัง (วัตต์) ที่เราสามารถออกแรงได้อย่างต่อเนื่อง (Sustainable Power Output)
พละกำลัง(วัตต์) กับ แลคเตท นั้นมีความสัมพันธ์กัน ยิ่งออกแรงเพิ่มปริมาณแลคเตทในเลือดก็เพิ่มขึ้น จนกระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ พละกำลัง (วัตต์) เราจะไม่เพิ่มได้อีก แต่ปริมาณแลคเตทจะยังคงสะสมในเลือดมากขึ้น ระหว่างทดสอบก็จะมีการวัดอัตราส่วนก๊าซออกซิเจนกับคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดเวลา และที่ Lactate Threshold นี้เอง คือ จุดที่ร่างกายใช้แต่คาร์โบไฮเดรตเป็นพลังงานแต่เพียงอย่างเดียวจนกระทั่งหมด...
นอกจากนี้ โค้ชจะทำการบันทึกค่าและแสดงออกมาทั้งในรูปกราฟ และช่วงการซ้อม training zone ทั้ง 6 ช่วง ผลจากการทดสอบของนักกีฬาท่านนี้ก็พบว่า ตัวเขาเองยังสามารถพัฒนาค่า FTP ได้อีก ด้วยการฝึกซ้อมแบบ endurance training ซึ่งการฝึกซ้อมแบบ endurance สามารถเพิ่ม FTP ได้ 20% ส่วนโปรแกรมการฝึกซ้อม โค้ชก็ได้ออกแบบให้ใหม่เป็น 6 ระดับ ได้แก่
Zone 2 = fat burning ช่วการออกกำลังกายแบบเผาผลาญไขมันที่เหมาะแกการฝึกแบบ endurance แต่มันอาจจะต้องใช้เวลานาน จึงจะเห็นผลการพัฒนาได้ชัดเจน
Zone 3 = เป็นระดับที่ปริมาณแลคเตทในร่างกายคงที่ (Steady) มีอัตราการเกิดแลคเตทและใช้แลคเตทไม่เพิ่มหรือไม่ลดลง การซ้อมที่โซนนี้มาก จะเป็นจะต้องมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ และจะต้องเติมพลังงานด้วยคาร์โบไฮเดรตอย่างต่อเนื่อง
Zone 4 = ระดับนี้โค้ชแนะนำว่าไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน เป็นระดับที่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ โค้ชแนะนำให้ฝึกแบบ interval แค่ครึ่งชั่วโมงต่อครั้ง เป็นการซ้อมที่ทำให้ร่างกายเกิดแลคเตทสะสม เมื่อไม่สามารถกำจัดออกจากเลือดได้ก็กลายเป็นกรดแลคติกที่ทำให้รางกายอ่อนล้า
Zone 5 = เป็นการซ้อมระดับเกินขีดร่างกาย ในหนึ่งวันไม่ควรเกิน 3 -8 นาที (ซินดี้มีข้อสังเกตว่า ในบทความหมกมุ่นอันก่อน ๆ หน้ามีโค้ชท่านหนึ่งก็แนะนำว่า zone 5 ต้องซ้อมให้แตะๆ ขึ้นไปถึงบ้างสัก 1-2 นาที เพื่อกระตุ้น Growth hormone ให้ออกมาซ่อมแซมร่างกายและกระตุ้นการพัฒนาของกล้ามเนื้อ) นอกจากนี้ การซ้อม interval ไป zone 5 จะช่วยเพิ่มความสามารถในการปีนเขาแบบสั้น ๆ (short climb, hills interval) ด้วยจ้ะ
Zone 6 = เรียกว่า anaerobic effort เป็นอันตรายต่อร่างกายไม่ควรมีในตารางซ้อม กล่าวโดยสรุป VO2 Max เป็นค่าที่ช่วยบอกว่า พื้นฐานร่างกายของเรามีศักยภาพสูงสุดในการเป็นนักกีฬาระดับไหน และปัจจุบันเราได้ใช้ศักรยภาพเหล่านั้นในระดับใด วิธีการฝึกซ้อมเพื่อ VO2 Max สามารถทำได้ โดยการซ้อมแบบ High Intensity Interval ควบคู่ไปกับการพักผ่อนอย่างเหมาะสมและ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอต่อร่างกาย
อย่างไรก็ตามถึงเราจะเพิ่มพละกำลังสูงสุดที่เรามีได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าในการออกทริปหรือในเกมการแข่งขันเราจะได้ใช้มันเสียทีเดียว การซ้อมแบบ endurance ต่างหากที่ช่วยทำให้เรามีแรงตลอดทริป เป็นทั้ง sustainable power และ sustainable speed ที่ทำให้เราสามารถปั่นไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก
แล้วถามจริงๆ รู้ค่า VO2 Max ไปมันมีประโยชน์อะไร
เท่าที่ศึกษาดู มันก็แทบจะไม่ได้ใช้อะไรมากเลยนะ สำหรับคนที่เล่นกกีฬาเพื่อสันทนาการ หรือไม่ใช่นักแข่งขันที่ต้องคอยเปรียบเทียบตัวเองกับผู้แข่งตลอดเวลา แต่ถ้าการทดสอบลักษณะนี้มีให้ลองที่เมืองไทย แล้วก็ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก บรรดาทีมสมัครเล่นเราจะไปทดสอบเพื่อวางแผนซ้อมให้แต่ละคน ก็สามารถช่วยวางแผนเล่นเกมจักรยานก็ได้ดีขึ้น
สุดท้ายนี้ใครอยากอ่านวิธีการทดสอบที่ซินดี้อ้างถึงไว้เป็นความรู้ก็เชิญที่ ลิงค์นี้ https://roadcyclinguk.com/riding/ad... (จริงๆ ก็มีอีกหลายเวปที่เขียนรีวิวไว้น่าสนใจนะคะ แต่โดยวิธีการแล้วก็ไม่ต่างกัน)
ส่วนนักกีฬาโปรทัวร์ที่มีเปิดเผยค่าการทดสอบอย่าง Chris Froome เพื่อนๆ ก็สามารถไปดูได้ที่ลิงค์นี้ มีคลิปการทดสอบด้วยนะ
----