วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

รายงานผลการปั่นขึ้นดอยอินทนนท์ 2016

นี่เป็นงานปั่นงานแรกและคงจะเป็นเพียงงานเดียวที่ฉันร้องไห้ระหว่างทาง

ถ้าถามว่ามีงานไหนแข่งจบแล้วร้องไห้บ้าง ....ก็เยอะนะ เพราะเรามันคนอ่อนไหวจิตใจบอบบางและน่าทะนุถนอม ..... ทวิกีฬาแรกที่สามเหลี่ยมทองคำ(งานนั้นอย่างซึ้งมีบันทึกอยู่ในเวปพันทิปใครใคร่หยิบไปหาอ่านก็ได้นะคะ) หรือ มาราธอนแรก(และคงจะสุดท้าย) ซึ่งได้เคยบันทึกเรื่องราวไว้ในเพจ Fit for Reasons แต่ก็อย่างที่เกริ่นไว้ ไม่มีงานไหนสู้กับใจตัวเองไปตลอดทางจนมันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ขนาดนี้ ร้องไห้สะแล้ว เส้นชัยก็ยังไปไม่ถึงเลย!!
ปวดขามากแต่ก็อยากปั่นให้จบ

ณ กิโลเมตรที่ 42

ที่ตรงนี้....ใครเคยขับรถขึ้นมาก็คงจะเพลินตากับจุดชมวิว ยอดพระมหาธาตุทั้งสององค์หรือมองลงไปดูความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าเชียงใหม่ที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา.... แต่สำหรับใครที่ไปร่วมสมรภูมิอินทนนท์คนพันธุ์อึดกับฉัน เขาคงจะมองเห็นแต่เพียงกำแพงปูนที่อยู่ด้านหน้า สายตาอาจจะมีเหลือบไปสบเบาๆ เพื่อขอกำลังใจจากผู้คนที่จอดพักริมคันปูนข้างทาง หรือกระทั่งผู้ร่วมงานที่เปลี่ยนท่าทางจากนั่งคร่อมมาเดินเคียงข้างจักรยาน ฉันคงไม่ถามเขาว่า คุณได้ยอมแพ้ให้กับความชัน 16% อันโหดร้ายต่อเนื่อง 3 กิโลเมตร แล้วหรือไร ... เพราะวินาทีนี้ ฉันจะไม่พูดคำว่าแพ้ เด็ดขาด....

ฉันตะโกนเชียร์ตัวเองแบบไม่รู้จักอับอายใคร

“สู้เว้ยยย! ห้ามลงนะ! ลงแล้วขึ้นไม่ได้นะ! ซินดี้! ซินดี้! ซินดี้!!
ทำได้ดิ!!! แกทำได้ดิ!!
ซินดี้ทำด้ายยยยยยย!! ซินดี้ทำด้ายยยยยย!!”
พูดไปซ้ำๆ ยังงั้น กรีดร้องออกไป ตะโกนออกไป (เมิฟเบสสอนไว้) มันเป็นการต่อสู้กับหัวใจและปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายที่บอกให้พักเถอะ.... ฉันเชื่อแล้วจริงๆ ว่าจิตใจมนุษย์มันมีความสามารถบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ไม่ถึงคราวจำเป็นมันจะไม่ดึงจุดนี้ออกมาใช้ มันคือความสามารถในการฝืนความเคยชินของร่างกาย.... จึงเกิดเป็นนักสู้คนพันธุ์อึดมากมาย ที่ปีแล้วปีเล่า แม้เขารู้อยู่...รู้ว่าเข็นก็ยังต้องมา รู้ว่ามันหนักหน่วงและทรมาณ แต่ก็ไม่เคยท้อจนกว่าจะถึงด้านบน ไม่ว่าด้วยวิธีใด หรือสภาพอย่างไรก็ตาม
ความรู้สึกยิ่งกว่าฉากหนังดราม่าแบบโอชินเดินอุ้มน้องตากฝน.... ฉันกำลังสะอื้น เพ้อ มโนรำพรรณ .... กัดฟัน ทำจมูกบาน พยายามหายใจให้มากที่สุด น้ำตากำลังจะร่วงเผาะลงมาอีกเม็ด ก่อนที่จะมีเสียงคุ้นเคยจากรุ่นพี่ที่เคารพมาให้กำลังใจ อจ.อาร์ท fly sharks นั่นเอง ที่ปั่นสลับกันขึ้นลงแซงกันบ้างมาตลอดทาง มาเจออีกที่ที่เนินพระธาตุนี้ เราทักทายกันสั้นๆ ก่อนก้มหน้าก้มตาปั่นต่อไป แล้ว อจ.อาร์ทที่ตามมาข้างหลักก็ทักขึ้นว่า ....
“น้องซินดี้ เบรกติดอ้ะ!”
ขอบคุณรูปจากพี่เสือโย่ ในรูปซินดีกับอีโหว๋ และ อจ.อาร์ทขี่ BMC เหตุเกิด ณ จุดชมวิว เนินพระธาตุฯ
ว้อทททททท ดาาาาาา ฟักกกกก!! (คิดในใจ ฉันไม่ได้พูดออกมา) จริงหรอเนี่ย รู้ว่าเบรกหน้าติดตอนออกมาได้ 5 กิโลเมตร แต่ก็ได้ยอมเอาเท้าแตะพื้น จอดแก้ไปแล้ว.... (แล้วก็โง่จริงๆ ที่มัวแต่รีบจะกดตามเพื่อนๆ พี่ๆ โดย ไม่ได้เชคล้อหลังด้วย.... ก็จำเป็นบทเรียนไปค่ะ) “พี่อำหนูเล่นป้ะเนี่ย ทางมันชันใช่ไหม เลยจะแซวหนูว่าขี่ช้า 5555” .... หอยหลอด! ซินดี้ยังมีอารมณ์ฮา “เฮ้ยไม่ได้พูดเล่น เบรกหลังติดจริงๆ มาๆ เดี๋ยวทำให้” อจ.อาร์ท เริ่มซีเรียส เลยคิดว่า แกไม่ขำ สงสัยจริง “ไม่เอาพี่หนูไม่จอด คลายเบรกได้ไหม” อจ.อาร์ทพยายามจะปั่นตีคู่มาข้างๆ เพื่อช่วยเอื้อมไปคลายเบรกแต่ก็มีรถยนต์เลี้ยวลงมาหน้าหวาดเสียวยิ่ง จนฉันต้องพยายามเอื้อมมือไปคลายเบรกหลังเอง “ได้ยังคะพี่” “โอเคน้อง เบรกไม่สีแล้ว ... นี่ต่อให้คนอื่นใช่ไหมจ้ะ” .....
ใช่! ก็! แย่! แล้ววววววว!! ถามตัวเอง โชคชะตาอะไร พาเรามา 40 ฝ่าโลแบบเบรกสีล้อ คนอื่นขี่ตามมาไม่มีใครบอกเลย ถ้าไม่เจอคนรู้จักนี่คงแย่แล้วววว เหลืออีก 5 กิโลข้างหน้าเท่านั้น พอได้คลายเบรกออกก็รู้สึกดีขึ้นจริงๆ หัวใจลดต่ำลงอีกหน่อยนึงในขณะที่พยายามถีบไสดึงยกลูกบันไดไว้ที่รอบขาเท่าเดิม พอมาเชคความเร็วใน เซกเม้นต์ต่างๆ เทียบกับเพื่อนก็พบว่า ความเร็วบนเนินเราดีขึ้นหลังคลายเบรกแล้ว.... พระเจ้าจอร์จ จะเอาหน้าซุกไว้ที่ไหน คิดว่าปีนี้ถ้าขึ้นดอยได้โดยไม่เท้าไม่แตะพื้นก็จะไม่มาอีกแล้ว.... กลายเป็นปีหน้าต้องมาแก้มือใหม่ เพื่อลบล้างความโง่ของตัวเอง....

กลับมาที่บรรยากาศระหว่างทางกันบ้าง.....

ฉันนั่งรถกระบะลงไปแล้ว ขณะนั้นเวลาเที่ยงกว่า ก็ยังมีผู้คนที่ยังมุ่งมานะจะไปให้ถึงยอด
ปีนี้มีนักปั่นที่มากถึง 5,000 ชีวิต และอาจจะมากกว่านี้ที่ไม่ลงทะเบียน อีกหลายพันเมื่อรวมสตาฟผู้จัดงาน และผู้ติดตาม กองเชียร์ทั้งหลาย ผู้ซึ่งต่างก็มีจิตนิมิตหมายเดียวกัน คือ เพื่อสืบสานประเพณีสร้างคนพันธุ์อึดขึ้นมาอีกครั้ง
จากจุดปล่อยตัว ที่พรรคพวกชวนกันไปยืนที่จุดปล่อยตัวของ Elite (ก็รู้จักกะปีเต้ออ้ะ ทำไมอ้ะ 5555) เป้าหมายวันนี้ คือ คุมอัตราการเต้นของหัวใจไว้ไม่ให้ทะลุโซน 4 นานเกินไป ช่วงแรกเป็นช่วงที่จะสามารถขโมยเวลาได้ดีที่สุดโดยการโรลลิ่งเกาะกลุ่มใหญ่ แต่ อจ.ดำก็ย้ำเสมอว่า ถ้าหัวใจเอาไม่อยู่ให้ปล่อยหลุด ชิดซ้ายอย่างปลอดภัยแล้วรอกลุ่มใหม่ แต่ถ้าช้าจนคนกลุ่มใหญ่พาไปถึงเนินแรก มันจะไม่มีที่ให้ความเร็วอย่างเราขึ้นเนินได้สะดวก....... ตอนนั้น หัวใจหลุดโซนง่ายมากทั้งที่เนินก็ไม่ได้ยากเหมือนเวลาไปหวดโป่งกระทิง หรือความเร็วก็ไม่ได้สูงมาก เหมือนเวลาหมกกลุ่มพี่ๆในสกายเลน (ท่านผู้อ่านได้โปรดอย่าลืมว่าดิฉันยังคงโง่อยู่ ....) ปั่นหลุดมาสองสามกลุ่ม เจอพี่ยุมมี่ลากผู้ชายมาเป็นเบือเราก็โดดเกาะท้ายไป คนบังลมให้เพียบ แต่ไม่เข้าใจทำไมหัวใจก็กระฉูดไวมาก... อ่อ.... ก้มลงไปดูเบรกหน้า อ้อ เบรกติด!!! จำเป็นต้องจอดลงรถเพื่อขยับเบรกหน้า แล้วรีบหวดตามกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มที่เฮโลกันมา ตอนนั้นมองข้างหลังเห็นเพื่อนๆที่รู้จัก ผ่านตาไปกันหมด เอาว่ะ ไม่เปนไร เราไปเพซเรา.....
เนื่องจากว่าฉันได้ทำ cue sheet ดอยอินทนนท์ไว้ โพยดอยอินทนนท์เป็นโพยที่ทำขึ้นมาจากประสบการณ์ที่ปั่นผ่านมาแล้ว 2 ครั้ง ความลับในนั้น คือ เราไม่เขียนให้ความชันและระยะทางดูโหดเกินไป แต่เพื่อจุดประสงค์ให้รู้ไว้ว่า ช่วง กม.นี้ เร่งได้ หรือไม่ได้ ถ้าคิดจะยืนยกให้พ้นเนิน จะต้องเจอกับอะไรข้างหน้า และตรงไหนที่ควรกิน เพราะถ้าไม่กิน จะไม่มีที่ให้ประคองรถอย่างสะดวกเพื่อกินอีก
หน้าตาแม่ค้าขายโพย นอกจากจะทำไว้ดูเองแล้ว ก็ทำมาขายด้วย เพื่อหาเงินค่ารถค่าโรงแรมสำหรับทริปนี้ ขอบคุณผุ้มีอุปการะคุณทุกท่านนะคะ (ก่อนหน้านี้ตกงาน ไม่มีงานทำเลยซ้อมปั่นเยอะๆ แต่ก็ไม่มีรายได้เช่นกัน เลยต้องหาเงินวิธีนี้ 5555)
สิ่งสำคัญที่ทำให้คนส่วนมากเป็นตะคริว และแลคเตทท่วม คือ นอกจากจะดื่มน้ำไม่พอ ขาดเกลือแร่ แล้วยังหมายถึงการสะสมกรดแลคติกไว้เป็นเวลานานเกินไป คำแนะนำที่เคยได้รับจาก คุณปีเต้อ เมื่อคราวที่ไปเทสแลคเตทในเลือดนั้น คือ
“มันยากมากที่เมื่อคุณปั่นหนักๆ แช่ระดับ i4 เป็นเวลานานเกินกว่า 20 นาที แล้วกล้ามเนื้อของคุณจะดึงแลคเตทออกจากกระแสเลือดได้ทัน คุณจะล้า ไปต่อไม่ได้ เป็นการทำลายกล้ามเนื้อตัวเอง”
i4 คือ จุดที่แลคเตทเริ่มสะสมในกล้ามเนื้อเกิน 4mmol/lt ทำให้เกิดอาการอ่อนล้า ปวดกล้ามเนื้อ
ดังนั้น การจัดการพลังงานและอัตราการเต้นของหัวใจ จึงเป็นเทคนิคสำคัญที่ต้องศึกษาสำหรับผู้ที่อยากจะขึ้นเขาได้ดีขึ้น ถึงฉันจะโม้มาแบบนี้ ฉันก็ไม่เคยเปิดเผยเลยว่า i4 ของฉันคือเท่าใด i4 ของฉันอยู่ที่ 145 bpm เท่านั้น! แต่วันที่ไต่ดอยอินทนนท์ หัวใจเฉลี่ยอยู่ที่ 161 bpm!! หมายความว่า ปวดเมื่อยและหิวโซตายแน่! เพราะมันเกินจุดที่ร่างกายจะใช้ไขมันเป็นพลังงานไปแล้ว เตรียมพกคาร์โบไฮเดรตไปมากๆ เท่านั้น คือคำตอบ....
ก่อนจะคิดว่าพร้อมสำหรับดอยอินทนนท์ ฉันได้ใช้อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นที่ซ้อมสำคัญ ถ้าใครคิดจะให้รางวัลความขยัน ฉันก็ขอให้รางวัลนั้นมาจากความบ้าที่ ขับรถจากบ้านมาเขาใหญ่คนเดียว! ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ตั้งแต่ต้นปี เพื่อซ้อม ซ้อม และก็ซ้อม
โจทย์เขาใหญ่แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน วันนี้มา endurance วันนี้มา tempo วันนี้มายัดเพื่อสู้กับ threshold หรือกระทั่งมาท่องเที่ยวชิลๆ เพื่อผ่อนคลายก่อนไปลุยดอยอินทนนท์
การซ้อมที่เขาใหญ่ทำให้ฉันทราบทรัพยากรที่มีในร่างกายว่า
1. ฉันมีกำลังเท่าไหร่ หัวใจเฉลี่ย เมื่อพยายามทำความเร็วระดับต่างๆ คือเท่าไหร่ (ค่า พวกนี้ สำหรับสมาชิก strava premium สามารถดูและเปรียบเทียบได้)
2. การไต่ elevation 2,500m ฉันต้องใช้แคลอรี่มากน้อยแค่ไหน
3. ทดลองทานอาหารหลายๆ แบบ บนรถ เพื่อดูว่า ชอบแบบไหน เจล เยลลี่ ข้าวเหนียว แครกเกอร์ หรือแบบไหนต้องเติมทุกๆ กี่นาที ใช้น้ำกี่กระติก
4. จุดแตกหักความหิวของฉันคือเวลากี่โมง ถ้าจะไปดอยอินทนนท์ ต้องจบในกี่โมงเพื่อไม่ให้หิว// เพราะถ้าหิวคือต้องจอดกิน// จอดกินคือจบ// เพราะจอดปุ๊บจะขึ้นรถจักรยานอีกทีก็ยากมาก (ไม่ได้เกี่ยวกับศักดิ์ไม่แตะพื้นอะไรหรอกนะ )
5. จะเลือกเฟืองอะไรไปดี 28 ไม่ไหว 32 ได้ไหม
ผลประกอบการ เขาใหญ่ KOM เอามาเปรียบเทียบดูทั้งความฟิต หัวใจ ความเร็ว
ผลประกอบการ เขาเขียว KOM
ผลประกอบการ รวดเดียวจากด่านปราจีนถึงยอดเขาเขียว
f
สำหรับระหว่างสัปดาห์ที่ไม่ได้ไปเขาใหญ่ ก็ใช้สกายเลนเป็นที่ซ้อมสำคัญ เบสเทรนนิ่งยาวๆ 3 ชั่วโมง ปั่นไปคุยไป คุยกับไขมันของตัวเองนี่ละ คุมหัวใจตัวเอง เพิ่มโปรแกรมรอบขาต่ำ หัวใจโซน 1 โซน 2 สัปดาห์หนึ่ง ไม่ต่ำกว่า 400 กิโลเมตร
ที่เสริมขึ้นมาเพื่อเพิ่มแรง คือ เพิ่มการยืนโยก จากยืนได้แค่ 2 นาที เป็น 5 นาที เป็น 10 นาที เป็น 20 นาที เป็น 20นาที 2 เซท เป็น 10 นาที 3 เซท กระทั่งยืนโยกได้ครึ่งสกายเลน โดยคุมหัวใจไม่ให้เกิน 170 bpm .....
จากนั้นฉันก็เปลี่ยนไปเลย จากคนที่ปั่นเอามันส์ ทั้งอัดทั้งซัด สองรอบหอบแฮ่ก มาเป็นพยายามจะอยู่ในได้นานที่สุดบนจักรยานด้วยน้ำสองกระติก บางวันได้ 3 รอบ บางวันได้ 4 รอบ บางวันได้ 5 รอบ โดยไม่จอดแวะ ไม่แตะพื้น ยิ่งช้าลงเราจะไปได้ไกลขึ้น จิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้น

“Gravity always wins.” - โค้ชพี่กบ Chubby Riders

ฉันพยายามทำให้ตัวเบาที่สุดลดน้ำหนักตัวลง 7-8 กิโลกรัม เหลือ 45 กิโลกรัมแม้ดูเหมือนจะหนักขึ้นมาหนึ่งกิโลกรัมในวันก่อนแข่ง เพราะนั่งรถอย่างเดียวและปั่นน้อยลงเพื่อฟื้นฟูร่างกายก็ยังดีกว่าเมื่อก่อนนี้มาก ในขณะที่น้ำหนักรถจักยาน ประมาณ 8 กิโลกรัม ขวดน้ำ อาหาร อุปกรณ์ซ่อมอีก ราว 1 กิโลกรัม มันก็เป้นภาระของฉันที่ต้องแบบน้ำหนักประมาณ 55 กิโลกรัม ขึ้นไปบนดอย
ภาพของฉันในปี 2013 ด้านซ้าย และ 2016 ด้านขวา จากที่เคยใช้เวลา 7.30 ชั่วโมง ทั้งเข็นทั้งจูง จอดพักไม่รู้กี่ตลบ ก็สามารถฝึกซ้อม และพิชิตในตัวเองจนสามารถทำเวลาได้ 3.55 ชั่วโมง ในปีนี้
กระติกน้ำ ตัดสินใจพกใบเล็ก 2 ใบ เจลซองเล็ก x 4 แบบคาเฟอีนและไมคาเฟอีน เจลถุงใหญ่ 300cal กินก่อนออกตัวหนึ่ง และกินก่อนขึ้น 16 กิโลเมตรสุดท้ายอีกหนึ่ง ... กล้วยตากแบบซองเล็ก กินทุกทีที่นึกได้ ขวดน้ำใบหนึ่งใส่เกลือแร่แบบไร้น้ำตาล จิบตลอดทางทุก 5-10 นาที ขวดอีกใบหนึ่งใส่น้ำเปล่า เอาไว้ราดขากันตะคริวและราดตัวเพื่อลดความร้อนในร่างกายลง ...... สรุปเจลเล็กเหลือ 2 ซอง

กายเริ่มไม่ไหว เหลือแต่ใจที่ยังบังคับ

การได้พบปะเพื่อนๆ ที่รู้จักไปตลอดทางทำให้เรามีแรงใจ เวลาได้เห็นพี่ๆ นักปั่นไอดอลเรา ปั่นแซงไปยิ่งฮึกเหิมอยากตาม แต่เมื่อมันสุดแรงจะตามก็กลับมาที่เพซตัวเอง ทำสมาธิ ก้มดูโพยกลับมาที่แผนการปั่นของตัวเอง จดจ่อที่ขา ไม่ทำให้ตะคริวมันขึ้นมา แต่ในบางจังหวะที่อยากจะจิกเท้าลงเพื่อเพิ่มแรงกด เมื่อดึงบันไดขึ้นมาปุ๊บ ลูกตะคริวก็โผล่ขึ้นมาทันที ต้องกลับไปทำท่าถีบเรือเป็ด การฝึกแพล้งกิ้งในช่วงที่ผ่านมานับว่าช่วยมาก และได้ ฟิตติ้งรถใหม่กับคุณจั้มแห่ง Jumm Bike Studio ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนไซส์แฮนด์ก่อนมาเพียง 1 สัปดาห์ ก็ทำให้ลดอาการปวดร้าวที่หัวไหล่และหลังส่วนบนลง แบบ หายไปเลย!
ผ่านจุดกิ่วแม่ปาน ได้เจอกับ พี่ๆ นักปั่นที่ไม่ได้มาปั่นแต่มาเชียร์มากมาย ตลอดทางเองก็ได้รับมิตรภาพที่ดี แม้ว่าตอนนั้นจะตาปรือ เหนื่อยล้าเต็มที่ แต่ก็ต้องโฟกัส บันไดไว้ ควงต่อไป รอบขาน้อยนิด มันต้องอึดจริงๆนะ สู้กับใจอ้ะ อยากลงไปเดินมาก ขาจะได้พัก นี่ฉันทำแบบนี้ต่อเนื่องมาสามชั่วโมงแล้วนะ !
สภาพตอนทักทายพี่จุ๊บตอนเลยกิ่งแม่ปานมาแล้ว
ขาก็บอกว่าอยากพัก หันไปเห็นคนเดินก็อยากเดินมาก ใจเสีย ถ้าได้จอดยืนแปบนึงก็ดี แต่ปั่นผ่านเพื่อนขาแรงหลายคนที่ตัดสินใจลงพัก จะด้วยเหตุผลไรก็ตาม ไม่สามารถกลับขึ้นยืนควงบันไดต่อไปที่ความชัน 15-16% ได้อีกเลย ดังนั้น มันคือการต่อสู้กับใจตัวเอง อยากพัก แต่ไม่อยากลง ฉันจะไม่เข็น ไม่เข็น
จนถึงที่ เนินสุดท้าย เจอพี่นัทเซเลปคนสวย พี่นัทบอกว่าจะถึงแล้ว เนินสุดท้ายแล้วเลยนี่ไปข้างหน้าเนินเล็กอีกหน่อยไหลเข้าเส้นชัยเลย ฉันกลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง ตอนนั้น ควง ควง ควง เร่ง เร่ง เร่ง แซงใครขึ้นมาก้อไม่รู้ เหมือนลูกบ้า เมื่อตอน สปริ้นท์หน้าเส้นในงานวิ่งมาราธอนกลับมาอีกครั้ง รีดทุกอย่างที่เหลือ ทำเวลาให้ดีขึ้นแม้กระทั่งวินาทีสุดท้าย เลยได้ติดเซกเม้นมาอันนึง แบบภูมิใจมาก!!! แอบนึกเสียดายจริงๆ ว่าพลังยังเหลือเลย ถ้าเบรกไม่ติดมาตลอดทางคงจะทำเวลาได้ดีกว่านี้


แต่ก็นะ .... มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราอยากกลับมาล้างตาอีกครั้ง เลยสัญญากับตัวเองว่า ปีหน้าฉันจะไปอีก แบบเตรียมตัวให้พร้อม เตรียมตัวดีมาไม่พอต้องพร้อมยันวินาทีสุดท้ายก่อนปล่อยตัว!!!

หน้าฟินฟินของผู้พิชิตอินทนนท์ได้สำเร็จ

สรุปผลประกอบการดอยอินทนนท์ 2016

จากเป้าหมายที่วางแผนไว้ 4.29 ชม. ฉันก็ทำสำเร็จ และดีกว่าที่คาดไว้ โดยจบได้ในเวลา 3.55 ชม. (official time) เข้าอันดับที่ 570 (บอกตรงๆไม่เคยคิดชีวิตนี้จะขึ้นได้ภายใน 600คนแรก ) แม้เครื่องวัดระยะทางของฉันมันจะรวนไปมากจนไม่สามารถแมชกับ strava segment ที่ หลายคนใช้เปรียบเทียบกันอยู่ก็ตาม แต่ก็ภูมิใจแล้วที่ตอนนี้ทำได้ แบบไม่จูงไม่เข็น ถ้าไม่นับว่า ลงมาแก้เบรกรถที่ 5 กิโลแรก กับจอดเก็บฝากระติก ตรงจุดให้น้ำแรก ที่เหลือก็ยัดเนียน เพียรยาวๆ ภูมิใจกับการใช้จานหน้าคอมแพก 50/34 และเฟือง 11-32T แต่ปีหน้าตั้งใจว่าจะเอามาเพิ่มอีก 1 เฟือง เพื่อให้กล้ามเนื้อไม่ช้ำเกินไป
พาวเวอร์ใครติดมาด้วยก้อไม่รู้เนี่ย 5555 เพราะไอ้นี่รึเปล่าทำให้ กามินหนูรวน
การปล่อยให้ขาแรงพากันแซงไปที่ 20 กิโลเมตรแรก โดยยังเชื่อในแผนการของตัวเองไว้ ก็ทำให้เราสามารถเพียรพยายามรอดปลอดภัยมาแซงคืนกลับได้ด้วยการไม่จูงไม่เข็นที่ 8 กิโลเมตรสุดท้าย ถึง 219 คน

ผู้หญิงคนนี้ใช้เวลาไปเกือบ 8 ชม.

ผู้หญิงคนนี้ใช้เวลาไป 6 ชั่วโมง.....

พกไรไม่รู้เยอะแยะ แต่ก็ต้องจอดกิน

อืม...ใช่! ผู้หญิงสองคนนั้นเข็ดแล้วค่ะ พวกนางไม่กล้ามาอีกแล้ว

คนนี้ต่างหากที่มาทำได้สำเร็จแล้ว...............

ดีใจที่สุดเลยยยยยยยยย
พบกับใหม่ปีหน้า ที่ยอดดอยนะคะ
ขวาถือโพย ซ้ายถือกล้วย อาวุธลับช่วยขึ้นดอยจ้ะ ฮิฮิ ^__________^

ขอบคุณที่อ่านจบ และโปรดติดตาม หมกมุ่นในยาน ฉบับต่อไป ใครมีคำถามเรื่องการซ้อมก็โพสไว้นะคะ กรุณาอย่าหลังไมค์ เผื่อเพื่อนคนอื่นถามแล้วจะได้ตอบทีเดียวค่าาาา
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนทริปเชียงใหม่ดอยอินทนนท์ของหนู พี่กบ พี่ต้น พี่เจน ดูแลตลอดทาง ท่านปลาทานกอล์ฟสำหรับอาหารอร่อย พี่แป้งสำหรับความบันเทิง พี่เหยี่ยว พี่แจ๊ค สำหรับมิตรภาพ และพี่ๆ เอ็นโดอีกหลายท่าน สาวๆ GT1 ที่เป็นกำลังใจร่วมฝึกซ้อม พี่โจโจ้ที่ชอบพาไปซาดิสม์บนเขาใหญ่ และลูกค้าผู้มีอุปการะคุณสนับสนุนโพยดอยอินทนนท์ของหนู ขอบคุณจริงๆ ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จของซินดี้ครั้งนี้ ได้ประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ ความเจริญ ปั่นจักรยานอย่างสนุก มีสุขภาพแข็งแรงนะคะ แล้วพบกันทริปหน้าน๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
Special Thanks....
อัพเดทอีกรอบ 11.41น. 25/2/2559 เพิ่มเติมรูปภาพสวยๆ จาก Tor Chiangchon ปั่นแค่ไหว รักคนปั่น และ HBR ต้นฉบับจาก https://www.facebook.com/notes/sindy-marattanachai/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-doi-inthanon-challenge-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2/1053934904652147

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น