Cardiac, Kardia, Cordia, Cordial
หัวใจในภาษาอังกฤษ เรียกว่า ฮาท (heart) มันมีรากศัพท์จากคำในภาษากรีก ว่า คาร์เดีย (Kardia) คงน่าสงสัยว่าออกเสียงกันคนละทางแล้วไหงมาเจอกัน แม้จะยังมีการใช้ในศัพท์ทางการแพทยื เช่น cardia หรือ tachycardia อยู่บ้าง แต่ในสมัยโรมันก็ได้ออกเสียง Kardia เป็น Cordia ก่อนใคร จากนั้น ชาวทูโทนิก (พวกเยอรมันโบราณ) ก็แปลคำว่า “Cor” ในภาษาไปเป็น “herton” ในภาษาตัวเองแล้วจากนั้นในยุคกลางถึงเพี๊ยนไปเป็น heorte หรือ heart ในปัจจุบันนี้แหล่ะจ้า
หัวใจอยู่ตรงกลางนะ แต่มันเอียงเข้าหน้าอกด้านซ้าย คอเพลงป๊อปร๊อคที่เคยฟังเพลงอกหักอย่าง “อกข้างขวาไม่เป็นไร แต่อกซ้ายมันสะเทือน” ก็วางใจได้นะเวลาอกหักเนี่ย เอาเข้าจริงหักตั้งแต่ตรงกลางอก ไม่เลือกข้างจ้าา สะเทือนทั่วทั้งร่างแน่นอนน...
ขนาดของหัวใจมนุษย์แต่ละคน ก็จะประมาณเท่ากับหนึ่งกำปั้นคนนั้น ขนาดของหัวใจอาจจะขึ้นกับพันธุกรรม แต่ความสามารถในการทำงานของหัวใจขึ้นกับทั้งลักษณะทางพันธุกรรมและการฝึกซ้อม
หัวใจแต่ละห้องทำงานอย่างไร
อันนี้เทคนิคเราท่องวิชาชีวะมาตั้งแต่วัยกระเตาะ หัวใจมี 4 ห้อง “บนสูบ-ล่างฉีด, ขวาร้าย-ซ้ายดี” จำได้ง่ายๆ
คำว่า สูบ ก็คือ การสูบเลือดกลับเข้ามา ถ้าเป็นเลือด “ร้าย” หรือเลือดดำที่ต้องส่งไปเติมออกซิเจนที่ปอดก็จะกลับเข้าหัวใจที่ ฝั่ง “ขวา” ห้อง “บน” ดังนั้น ห้องบนขวาก็ทำหน้าที่สูบกลับเลือดดำมาจากทั่วร่างกายจ้า
แล้วเอาไปไหนต่อล่ะ??? ต้องเอาไปเติมออกซิเจนที่ปอดไง ก็ต้อง “ฉีด” ออกไปใช่ไหม พอเป็นเลือดร้ายก็ออกจากฝั่งขวา การฉีดออกไปนอกหัวใจก็เกิดที่ห้องล่าง ดังนั้น หัวใจห้องล่างขวาก็จะสูบฉีดเลือดไปที่ปอดนั่นเองค่ะ
เลือดดีที่กลับมาจากปอด ก็จะถูกสูขเข้ามาที่หัวใจห้องบนซ้าย และจากนั้นหัวใจห้องล่างซ้ายนี่แหล่ะ ทำงานหนักสุดเลยยิ่งเวลาอกอกำลังกาย ต้องฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย เส้นเลือดแดง เส้นเลือดฝอยที่แตกแขนงมากมายยังกับเขาวงกต
นี่ก็จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ไปวัดความดันหัวใจ แล้วมีสองค่านะคะ เพราะการเต้นเพื่อ “ฉีด” เลือดออกจากหัวใจเกิดได้ทั้งเลือดเสียที่ไปปอด และเลือดดีที่ไปเลี้ยงร่างกาย(ซึ่งใช้ความดันมากกว่า)
และด้วยการทำงานที่แตกต่างกันของ หัวใจทั้ง 4 ห้องนี้เอง ก็ทำให้ขนาดความหนาของกล้ามเนื้อหัวใจแต่ละห้องไม่เท่ากันด้วย

แผนภาพแสดงการทำงานของหัวใจ
ไขที่มา...จังหวะของหัวใจ
หัวใจเป็นอวัยวะที่อยู่เหนือกานสั่งงานของสมอง มันถูกควบคุมโดยตรงจากระบบประสาทอัตโนมัติด้วยกลไกปรับสมดุลจาก ระบบประสาทซิมพา (sympathetic) และ ระบบประสาทพาราซิม (parasympathetic) .... เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไปในเรื่อง Heart Rate Variability (HRV) กับการ Recovery ของนักกีฬา มาทบทวนสั้นๆ กันก่อน
ระบบประสาทอันตโนมัติที่ควบคุมการทำงานในกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายมี 2 ระบบ
1. ระบบ sympathetic ระบบนี้จะควบคุมการทำงานอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเราโดยที่ตัวเราจะไปสั่งการให้มันทำหรือไม่ทำงานไม่ได้ เช่น นัยตา หัวใจ ต่อมต่างๆ ตับไต ลำไส้ เป็นต้น2. ระบบ parasympathetic เป็นระบบที่ควบคุมการย่อย การนอนหลับ การร้องไห้ การย่อยอาหาร การปัสสาวะ เป็นระบบที่ทำงานคู่กับ sympathetic เสมอ และระบบบประสาทส่วนนี้คือ กลไกสำคัญที่ควบคุมการซ่อมแซมฟื้นฟูร่างกายภ่ายหลังการซ้อมหรือเล่นกีฬานั่นเองเมื่อร่างกายเกิดความเครียด ร่างกายจะเลือกทำงานในระบบ sympathetic มากกว่า parasympathetic และนั้นทำให้เกิดการฟื้นฟูได้ช้า แต่เมื่อได้พักผ่อนอย่างเพียงพอเหมาะสม ระบบ parasympathetic จะกลับมาทำงานปกติและชดเชยร่างกายในส่วนที่เสียไปกับการซ้อม ให้นักกีฬากลับมามีสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น
หลักๆ แล้วระบบ Parasympathetic (ซึ่งดูแลการทำงานร่างกายในส่วน พักผ่อนและฟื้นฟู) จะคอยควบคุมให้หัวใจเต้นช้าลง ในขณะที่ ระบบ Sympathetic (ซึ่งจะควบคุมร่างกายในลักษณะต้องการสู้หรือลงมือทำ) จะเป็นส่วนที่ควบคุมอัตราการเต้นหัวใจให้สูงขึ้นและบีบแรงขึ้น ทว่าโดยตามธรรมชาติแล้วถ้าระบบประสาทส่วนสั่งการไม่ได้ทำงานอะไร และปล่อยระบบอัตโนมัติอย่าง sympathetic ทำงานเดี่ยวๆ หัวใจจะเต้นราวๆ 110 - 120 bpm แต่เพราะว่า parasympathetic จะคอยชดเชยให้เต้นช้าลงประมาณ -30 bpm ดังนั้นเมื่อมาหักลบกลบหนี้กัน หัวใจคนทั่วไปก็จะเต้นอยู่ประมาณ 60 - 70 bpm นั่นเอง
ทำไมนักกีฬา Endurance Sport เก่งๆ ถึงมีหัวใจต่ำช้า เอ้ย! เต้นช้า!
อย่างที่บอกไว้แล้วว่าการเต้นของหัวใจเกิดจากการควบคุมของระบบประสาท 2 ส่วน ส่วนหนึ่งทำให้เต้นเร็วขึ้น อีกส่วนหนึ่งทำให้เต้นช้าลง การได้ซ้อมหนักและได้พักผ่อนอย่างเพียงพอจะทำให้ระบบ parasympathetic (ซึ่งดูแลการทำงานร่างกายในส่วน พักผ่อนและฟื้นฟู) ทำงานได้ดีขึ้น จนไปหักลบอัตราการเต้นหัวใจแบบ Sympathetic ให้เหลือน้อยลง
และเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้นระบบ Sympathetic เองก็จะปรับการเต้นของหัวใจที่สามารถสูบเลือดได้แรงขึ้น ให้เต้นช้าลงเช่นกัน นักกีฬาเก่งๆ โดยเฉพาะกีฬาประเภท endurance ก็จะมีอัตราการเต้นของหัวใจระหว่างพัก (resting heartrate) ราวๆ 35 -40 bpm และที่เคยปรากฎแค่ 26 bpm ก็ มี นะ!!!

ปู่ดาเนียล กรีน อายุ 81 ปี เจ้าของ กินเนสเวิร์ดเรคคอร์ด หัวใจ (resting hr) เต้นช้าที่สุดในโลก 26 bpm
Miguel Indurain แชมป์ TDF 5 สมัย 28bpm.
คริสฟรูม 29bpm
อยากมี MAX HR เพิ่มขึ้นได้ไหม ต้องทำยังไง
หลายคนอยากมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดเพิ่มมากขึ้น นักกีฬามือใหม่อาจจะเข้าใจผิดว่าซ้อมมากๆ จะช่วยเพิ่ม max heart rate แต่ในความจริงแล้วทำไม่ได้ หัวใจเรามีแต่จะอัตราการเต้นสูงสุดช้าลงไปตามอายุ
เพราะหัวใจของนักกีฬาประเภท endurance จะมีแรงสูบฉีดเลือดแต่ละจังหวะได้ปริมาณมากกว่าคนปกติ จึงเต้นช้ากว่าคนปกติทั่วไปที่ไม่ออกกำลังกาย จึงทำให้มีการเอา resting heart rate มาเป็นตัวชี้วัดความฟิตของนักกีฬาด้วยนั่นเอง
ตัวเล็กตัวใหญ่ล่ะ เกี่ยวไหมหัวใจ?
เขาว่าอัตราการเต้นหัวใจกับขนาดร่างกายนั่นอาจจะเกี่ยวโยงกันทางอ้อม เช่น ช้างเป็นสัตว์ตัวใหญ่ มีอัตราการเต้นหัวใจขณะพักอยู่ที่ 10 - 15 bpm เท่านั้น แต่นกบางชนิดกลับมีสูงถึง 1000 bpm หัวใจของช้างจึงมีความแข็งแรงมากเพราะต้องสูบฉีดเลือดแต่ละจังหวะในปริมาณมากๆ
สมมติเรานั่งยู่เฉยๆ แล้วลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวทำอะไรสักอย่าง ในตอนแรกเมื่อร่างกายเริ่มมีการขยับเคลื่อนไหวจากการสั่งงานของสมองเรา ระบบประสาทซิมพา จะสั่งให้หัวใจและอวัยวะส่วนที่เกี่ยวข้องออกแอคชั่น!! และระบบประสาทพาราซิมจะพักการทำงานชั่วขณะ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจมักจะดีดขึ้นไปราวๆ 100 - 110 ตามธรรมชาติของระบบประสาทซิมพา และยิ่งออกหนักขึ้นๆ โดยไม่มีสลับพัก อัตราการเต้นหัวใจก็จะเต้นแรงขึ้น เรื่อยๆ จนถึง max (แล้วจุดนี้ก็เป็นอันตรายต่อชีวิตได้)
Recovery จึงสำคัญ
ดังนั้น เมื่อรู้จักกลไกของอัตราการเต้นของหัวใจแล้ว วันนี้ก็จะสรุปอย่างนี้ว่า การดุแลหัวใจให้ดี เริ่มที่ ใส่ใจกับการ recovery มากขึ้นนะ
ในห้วงเวลาที่เล็กสุด .... recovery ขณะซ้อม เช่น interval หรือ แบ่งการซ้อมหนักเป็นเซทๆ ได้ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างมีสมดุล (สู้ สลับ พัก) ก็จะมีผลดีต่อร่างกายมากกว่าการซ้อมแบบ อัดๆ ยาวๆ
ในห้วงเวลาของตารางซ้อม .... มีวัน recovery เพื่อให้ระบบประสาทส่วนซ่อมแซมฟื้นฟูได้ทำงานเต็มที่
ในห้วงเวลาของฤดูการแข่ง .... มีสัปดาห์ recovery เพื่อคลายความเครียดจากการฝึกซ้อมตลอดทั้งปี และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ เพื่อให้เราแข็งแรงอย่างยั่งยืนได้ตามอายุที่เพิ่มขึ้น
กลับไปอ่านเรื่องหมกมุ่นในยานที่เกี่ยวข้อง
ที่มา
สื่อการสอนเรื่อง Physical Education - Fitness Training Principles and Methods เป็นคอร์สเรียนออนไลน์จากหลักสูตรของมหาลัยชื่อดังในต่างประเทศ ใครสนใจเชิญเวปไซต์ https://alison.com/ นะจ้า
มุมขายของ (ช่วยอุดหนุนซินดี้ด้วยนะจ๊า)

ใส่แล้วน่ารัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น