เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปร่วมทริป Endomondo cycling Thailand (ECT) ที่ภูทับเบิกจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นทริปประเพณีใหญ่ประจำปีของกลุ่มค่ะ นอกจากสมาชิกจากหลายๆจังหวัดจะได้มาพบปะกันปีละหนึ่งครั้งแล้ว ก็ยังเป็นเหมือนทริปข้อสอบกลางภาค ที่กระตุ้นเพื่อนๆ ให้ขยันซ้อม ออกปั่นกัน แม้ฝนฟ้านั้นจะไม่เอื้ออำนวยต่อนักปั่นมากนักในฤดูกาลนี้
การเตรียมตัวที่ผ่านมา
จากการเตรียมตัวอย่างกระชั้นชิดที่ผ่านมา ซึ่งได้วางแผนล่วงหน้าไว้ว่า อยากจะจบ 2 ชั่วโมงให้ได้ มันค่อนข้างชาเล้นจ์มาก เพราะเราไม่สามารถไปซ้อมขึ้นภูเขาได้บ่อยเหมือนเมื่อก่อน อย่านับว่าจะมีเวลาซ้อมปั่นเลย แต่ก็เพราะว่าทริปนี้มันเหมือนข้อสอบกลางภาค เราตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะไปให้ได้ อยากไปไต่ขึ้นสักครั้ง คุณเชื่อในพลังแห่งความมุ่งมั่นไหมละ (ถ้าเคยอ่านหนังสือ เดอะซีเคร็ทน่ะ....)
จง “ขอ” ที่จะทำ
ด้วยอยากสอบผ่านข้อสอบกลางภาคนี้ เราก็ไม่ขออะไรมาก เราขอให้ได้ซ้อมให้ดีที่สุดเท่าที่ทรัพยากรต่างๆ ในชีวิตจะเอื้ออำนวย สิ่งแรกที่ยอมเปลี่ยนตัวเอง คือ เราจะต้องซื้อเวลาเพิ่มให้ได้ และนั้น คือการมาเช่าหอพักอยู่ใกล้ที่ทำงาน มันเป็นหอพักเก่าๆ ไม่หรูหรา ที่ข้าราชการนิยมไปพักอยู่กัน เราเป็นเด็กบรรจุใหม่เพิ่งตั้งไข่ไม่ได้มีงบประมาณการใช้ชีวิตนอกบ้านได้มากนัก (อยากเก็บตังไว้ไปแข่ง กับออกทริปเสาร์อาทิตย์มากกว่า) ลิฟต์ไม่มี และนั่นทำให้เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ทุกเช้าวันจันทร์ที่มาทำงานและทุกเย็นวันศุกร์ที่กลับบ้าน มันไม่สนุกเลยที่ต้องเดินขึ้นลงสามถึงสี่รอบเพื่อแบกจักรยาน กระเป๋าชุดกีฬา เสื้อผ้าชุดทำงาน และบางสัปดาห์ก็มีเทรนเนอร์ด้วย เดินขึ้นลงหอพัก ชั้น 4 ในซอยแคบๆ ที่รถผ่านเข้าออกไม่ได้ .... นั่นก็คงทำให้เราแข็งแรงขึ้นด้วยมั้ง
.... และมันก็ทำให้เราซ้อมได้มากขึ้น ในถ้ำของเรา ที่ไม่เคยคิดว่าการปั่นจักรยานอยู่กับที่ในห้องนอนเงียบๆ มันจะสนุกได้เลย แต่ขอเพียงแค่ได้ชั่วโมงในการปั่นจักรยานกลับคืนมา....
แต่ขอเพียงแค่ได้ชั่วโมงในการปั่นจักรยานกลับคืนมา....

เพราะทนเห็นตัวเองซ้อมลน้อยลงไม่ได้ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและทัศนคติหลายอย่างจึงจำเป้นเพื่อปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ใหม่ให้ได้.... และนั้นก็ทำให้เดือนมิถุนายน 2559 เราได้ชั่วโมงการปั่นกลับคืนมาอีกครั้ง
เรา “เชื่อ” ว่าจะทำได้ (แต่สภาพไหนก็อีกเรื่อง)
เราปรึกษาโค้ชพี่กบ และพี่ๆในทีม GT1 ที่เคยขึ้นมาแล้ว และปรึกษาพี่โจโจ้ โค้ชทางเขาผู้ปลุกปั้นน้องนอยคนนี้ไปตะกายดอยอินทนนท์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทุกคนที่รู้จักเราดีต่างเชื่อและให้ว่าเราทำได้ 2 ชั่วโมงภูทับเบิก มันคงไม่ยากเกินไป แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นกัน ทุกคนต่างก็ให้คำแนะนำ พี่กบจัดตารางซ้อมให้ทุกสัปดาห์ ไปปรึกษาพี่โจโจ้ช่วยแนะนำวิธีปั่นวันจริง การคุมเพซ คุมหัวใจ ให้เราไปลองซ้อมและจับความรู้สึกดู
สิ่งหนึ่งที่เป็นเซอร์ไพรซ์และอยู่เบื้องหลัง ... แม้พี่เขาจะบอกว่าไม่เป็นไรยืมได้ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็ตาม นั่นคือการได้ลองยืมเทรนเนอร์ Bkool จากพี่วีระมาใช้ซ้อม ทำให้เราได้ฝึกปั่นได้อย่างหลากหลายเส้นทาง ได้เพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ และรู้สึกสนุกมากขึ้น

ปั่นซ้อมกับ Trainer ที่ปรับความหนืดไปตาม % ความชันของสภาพถนนจริง
สิ่งที่ทำได้ตามแผนที่เตรียมตัวไว้
สิ่งที่ทำได้ตามแผน ได้แก่
- ควบคุมน้ำหนักตัวเอง เพื่อ 3 watt/kg
- ไปซ้อมขึ้นเขาใหญ่หนึ่งรอบเพื่อเชคสภาพกำลังและความฟิต
- ชั่วโมงการซ้อมให้ถึงในช่วงพีค 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

สังเกตว่า น้ำหนักมันจะลงต่อเนื่องได้ มันจะชู้ทขึ้นก่อนนิดนึงเสมอ ไม่มีการอดอาหาร มีแต่การควบคุมของที่จะกิน และการเผาผลาญออก
เพื่อพิชิตให้ได้ใน 2 ชั่วโมง สิ่งแรกที่วางแผนไว้คือ การมี 3 watt/kg ขึ้นภูทับเบิกให้ได้ และการลองคำนวณเวลาปั่นขึ้นดูแล้วก็พบว่า ต้องย้อมลดน้ำหนักลง และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อไปพร้อมกันด้วยเพื่อให้มีพละกำลังมากขึ้นไปพร้อมๆกับ การลดความเสียเปรียบของตัวเองลงจากแรงโน้มถ่วงของโลก (ตามที่คำนวณไว้ว่าจะจบได้ใน 2 ชั่วโมง 7 นาที และคิดว่า น่าจะมีแรงยัดๆ ตอนท้ายมั้ง 555)

45.1 kg ได้เมื่อวันจันทร์ แล้วก็เริ่มกินปกติ แต่งด หวาน เค็ม มัน ทอด และซ้อมต่อเนื่องเพื่อคงสภาพ aerobic endurance ไว้
สิ่งที่ตั้งใจทำแล้วไม่ได้ทำ
- ไม่กล้าลองซ้อมกับความชันจากเส้นทางเสมือนจริง (ด้วยการซ้อมกับเทรนเนอร์นี่แหล่ะ) เพราะมีปรมาจารย์ท่านหนึ่งเคยแนะนำว่า จงทำตัวเองให้กระหายภูเขา เพราะเวลาเราได้ไปเจอเขาจริงๆ ปุ๊บ เราจะรู้สึกอยากเอาชนะมัน - ปีเตอร์ พูลลี่ (เราก็เลยไปซ้อมกับดอยสุเทพ ซ้อมกับเนินเบาๆ แถว อังกฤษ ฟินแลนด์ เดนมาร์ก และฝรั่งเศส แทน 5555 )
วันสอบกลางภาค
งานนี้ไม่ใช่งานแข่ง มันจึงชิลมาก เราออกเดินทางไปกับ พี่ดา พี่ตู้ และพี่มิกกี้คนสวย ขบวนรถดาด้าหรรษาออกจาก กทม. ตอนใกล้เที่ยงของวันเสาร์ ไปถึงโรงแรมอิมพีเรียลภูแก้วตอนเย็นๆ ด้วยสภาพจิตใจที่สดชื่น ครึกครื้นเบิกบาน เหมือนมาเที่ยว! มันไม่เหมือนไปทริปงานแข่ง มันไม่กดดันเหมือนวันที่จะปั่นขึ้นดอยอินทนนท์ มันไม่มีอะไรกดดัน งานเลี้ยงในค่ำวันนั้นโดยเหล่าสตาฟ ECT จัดดีมาก ทุกคนได้สนุกสนานผ่อนคลายเต็มที่ มีแต่เสียงหัวเราะและความสนุก
รู้สึกเหมือนได้กลับมาในครอบครัวที่มีแต่ความรัก และความหวังดี มันอบอุ่นทุกครั้ง ที่ได้มางานปั่นกับ ECT
ตอนเช้า
ตื่นนอนตีห้า เชค resting heart rate ได้ 55 bpm ถือว่าไม่ต่ำอย่างตั้งใจ แต่เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับสนิท เสียงแอร์มันดัง แล้วอาจจะดื่มน้ำเยอะไป เลยต้องตื่นมาฉี่กลางดึก ด้วยหน่ะ ฮ่าๆๆๆ แต่งตัวแล้วออกไปกินข้าวที่ห้องอาหาร กินข้าวต้มผสมข้าวผัด ผสมแตงโมได้ 2 ชามใหญ่ ได้เข้าห้องน้ำเพิ่ม power ratio ไปสองรอบ พกเจลติดตัวไว้ 760 calories
ก่อนออกตัวดูด Dever ซองใหญ่ไปครึ่งถุง แล้วโรลลิ่งไล่ตามกลุ่มที่ออกกันไปแล้ว ปั่นๆ ไป แจกเจลเพื่อนไปด้วย
เส้นทางสวย ฟิน เกินจะบรรยาย มีความสุขมาก ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ เพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ พี่ๆ หน้าคุ้นทั้งหลาย คนที่เราเคยปั่นด้วยกัน ตั้งแต่สมัยปั่นใหม่ๆ มีแต่รอยยิ้ม มิตรภาพ

ช่วง Rolling ลงจากเขาค้อ โคตรรรรรร สนุก
ปั่นไปตามซ้อม
และวันนี้มันไม่มีความเครียดใดๆ จะทำร้ายเราได้ เพราะทุกอย่างวางแผนมาเพื่อให้ขึ้นได้สำเร็จด้วยเวลา 2 ชั่วโมงแล้วทั้งสิ้น เมื่อโรลลิ่งมาจนถึงปากทางขึ้นภูทับเบิก อาการปวดท้องตุ่ยๆ กำเริบอีกครั้ง วิ่งหาห้องน้ำเข้าที่จุดจอดพักบริการประชาชน แต่ความความที่ไม่คุ้นที่ทาง ท้องไส้ก็เลยไม่เป็นมิตรกับสภาพการณ์เท่าไหร่ (อึไม่ออก) หรือเพราะตื่นเต้นเกินก็ไปก็ไม่รู้ พอพี่กบเรียกให้สัญญาณว่าปั่นขึ้นได้แล้ว เลยตัดสินใจรีบออกตัว กินเจลที่เหลือค้างไว้ให้หมดอีก 1 อึก แล้เทน้ำออกจากกระติกทิ้งไปใบหนึ่ง เหลือน้ำเต็มกระติกใบใหญ่ เชคเบรค เชคล้อ ถอดถุงมือ (ผมจะไม่ยอมเบรกติดไต่ดอยอีกแล้ว)
ก่อนปั่นขึ้นภู เราก็ปั่นไปแทคมือกับโค้ชพี่กบบอกว่าขอพลังหน่อยนะโค้ช!!! โค้ชก็บอกว่าปั่นดีดี ปั่นให้หนุกหนานนนนนนนะ!
เราบอกไปว่า สมทรงจะทำเต็มที่จ๊ะโค้ช!
ออกตัวมาก็ช้ากว่าคนอื่นแล้ว ขาแรงทยอยขึ้นไป เราก็พยายามเข้าเพซตัวเอง คุมหัวใจไว้ 160 bpm เลยเนินแรกมาลูกหนึ่ง สักพักเจอน้าปอบปั่นไล่ๆ ขึ้นมาค่อนข้างเร็ว ทางข้างหน้ายังมีเนินขึ้นลงๆ ให้โรลลิ่ง เราเลยเกาะตูดน้าปอบไป จนหมดโรลลิ่งและรู้สึกหอบจะแตกเพราะแหกตามปอบนี่แหล่ะ เลยสละยาน กลับมาเข้าเพซตัวเอง....
แต่การเกาะตูดน้าปอบก็ทำให้ช่วงแรก ได้เวลา time ahead มา 2 นาที!!
time ahead เกิดจากอะไร
time ahead เกิดจากการตั้ง segment goal ไว้ใน strava (สำหรับ พรีเมี่ยมเท่านั้น) ทำให้ใน การมินของเราสามารถแสดงคู่แข่งเสมือน (virtual rider) พร้อมกับ elevation หรือ แผนที่ ที่ปั่นแข่งทำเวลากับเราตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ก็ค่อนข้างจะวางใจรู้ตัวตลอดเวลาว่าเพซเร็วไปหรือช้าไป ทุกอย่างอยู่ในเพซที่วางไว้ถ้าไม่มีไรผิดพลาด เราคอนโทรลได้
พอปั่นๆ ขึ้นมาสักพักก็เจอ น้องเล็กซาเกรียน ช่วงแรกก็ยังตามเพซมันได้อยู่ เลยถามว่าจะปั่นกี่ชั่วโมง เล็กซาเกรียนบอกว่าน้าปอบสั่งแช่ 200 watt เราก็เห็นมันตูดใหญ่ๆ เลยถามไถ่หนักเท่าไหร่ มานว่าหนัก 75 มั้ง ลองหารๆ ดู ประมาณ 2.7 watt/kg เอ้ออออ เราน่าจะพอตามได้ แต่ข้อเสียที่เราคุมไม่ได้ก็คือไม่รู้วัตต์ตามจริงที่ปั่นนี่แหล่ะค่ะ เลยไม่แน่ใจว่าเราออกแรงไปเท่าไหร่
ตามตูดเล็กซาเกรียนได้สักพักก็จำต้องสละยานแม่ทิ้ง มันเป็นช่วงที่อยู่ดีๆ แดดร้อนถึงร้อนมาก มีความแขนไหม้ต้องเอาน้ำราดตัว หัวใจดีดขึ้นไป 180 bpm เราจะปล่อยให้หม้อน้ำแตกไม่ได้ ก็เลยร่ำลาน้องแล้วปั่นต่อไปด้วยเพซตัวเองอีกครั้ง
และการตามตูดเล็กซาเกรียนในช่วงสั้นๆ นี้ก็ทำให้ได้ time ahead เพิ่มมาเป็น 3-4 นาที!!
ถ้าจุดอ่อนของเรา คือ “กลัวเหงา”
งั้นจุดอ่อนของเขา ก็คือ “ไม่เคยทำให้เราเข็ดสักที”
(แคปชั่นนี้ใช้เวลาคิดนานมาก กว่าจะเสี่ยวได้ขนาดนี้) นะจ๊ะ กล่าว คือ การเดินทางผ่านพับแล้วพับเล่า นี่เราประมาทเกินไปหรือเปล่า ปกติจะไต่เขา เราจะนั่งสำรวจเองทุกโค้งว่ามีความชันเท่าไหร่ แต่เราคิดแค่ว่ามันคงไม่หนักหนาอะไรเพราะความชันเฉลี่ยประมาณ 8% ตลอดระยะทาง (คิดว่ามันชันเท่าเดิม อาจจะมีตามพับที่ชันบ้าง แต่ไม่น่าโหดมาก) แต่เอาเข้าจริง ไอ้พับติดๆกันนี้ ซาดิสม์มาก 12% ก็มี 15% ก็มา
ยิ่งพ้นแต่ละพับ เราก็อยู่กับตัวเองมากขึ้น ข้างหน้ายิ่งดูห่างไกล หันหลังไปยิ่งไม่เจอคนอื่น.... แต่ถามว่าเหงาไหม? ก็ไม่เหงา รู้สึกดีมาก รู้สึกว่าเราทำได้แน่ เราคอยสลับดูอัตราการเต้นของหัวใจกับ time ahead ตลอด ไปเรื่อยๆ และเวลานั้นก็ยังคงนำอยู่ 3 - 4 นาที แอบคิดในใจว่ามีเวลาให้จอดฉี่เลยด้วยซ้ำ 55555
เข็ดไหมกับการขึ้นเขา ที่ไม่มีครั้งไหนไม่เจ็บปวด กล้ามเนื้อของคนบนพื้นที่ราบที่ไม่ค่อยได้ถูกใช้งาน อัตราการเต้นหัวใจสูงๆ ที่ไม่ค่อยได้ฝึกให้ทนรับไหว .... แต่เขาก็ไม่เคยทำให้เราเข็ด มันอยากจะไปให้ถึงยอดนั้นให้ได้ และหวังว่าพรุ่งนี้ความเจ็บปวดจะจางไปเอง

มันเป็นพับแฮชทริกก่อนถึง CP2 ที่ชันต่อๆกัน ต้องร้องขอชีวิต เครดิตรูปภาพ พี่มิกกี้สุดสวย
งัดทุกเทคนิคเพื่อรักษารอบขา
โยกแบบโปร
โยกขึ้นด้วยสะโพก ใช้จังหวะที่มือคุมจังหวะปัดแฮนด์ไปซ้ายและขวา ถ้าน้ำหนักเราลงถูกตำแหน่งมันจะบาลานซ์กันพอดี ทั้งจะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ก้นและไม่ทำให้ฮาทเรทพุ่งขึ้นมาก ข้อควรระวังคือการไม่ใช้กล้ามเนื้อหน้าขาหนักเกินไป จะเหนื่อย เปลืองแรง (ขอบคุณพี่ดาสำหรับการแนะนำเทคนิกหนึ่งวันก่อนปั่นนะคะ 55555)
ฝึก core training มาบ้าง
ก่อนมาทริปนี้ ก็เล่น core training เยอะมาก และมีไปโยคะมาด้วยนะ ทุกวัน ก่อนนอนจะพยายามซิทอัพ แพล้งกิ้ง สควอท ครั้นช์ ยกขาสูง ..... เกือบทุกวัน บางจังหวะที่ต้องนั่งควง ก็รู้สึกว่าต้องไสหัวกระดุ๊กกระดิ๊ก ถ้าไม่แข็งแรงขึ้นก็คงปวดเอวปวดหลังไปแล้วแน่ๆ
ฝึกรอบขาที่หลากหลาย
ในโปรแกรมการฝึก แม้วันไหนบางวันจะได้ base training (ปั่นเบาๆ) แต่เราก็พยายามใช้รอบขาหลากหลาย ยิ่งใกล้วันจริง ใช้รอบขาต่ำ 50 - 60 rpm แช่ให้ได้ 30 - 40 นาที หรือทำเซทนั่งสปรินท์ ใช้รอบขา 120 - 130 เร็วๆ สั้นๆ 2-3 นาที ฝึกกล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใช้งานบ้าง ให้มันแข็งแรง พร้อมที่จะรับศึกหนักช่วยเหลือกัน
ทำเซทยืน
คือ ฝึกท่ายืนโยกใหม่ เพราะของเดิมยังยืนไม่ถูก น้ำหนักยังไม่ถูกต้อง เรายังบาลานซ์ตัวเองไม่ดีพอ ใช้กล้ามเนื้อหน้าขาเยอะไป ทำให้ล้าและเปลืองหัวใจ ก็จะพยายามยืนปั่นให้ได้อย่างน้อยครึ่งรอบสนาม รักษาหัวใจโซนสาม พยามเน้นที่ท่า ไม่เน้นความเร็ว ครั้งแรกครั้งสองมันเจ็บปวด แต่ทำให้มันชิน หลายครั้งก็โดนกลุ่มขาแรงในสนามขึ้นมา ปั่นแซง ปั่นเบียด หรือมาหมกหลัง ก็ไม่สนใจ ปั่นๆไป อยู่กับตัวเอง เหมือนมาฝึกวิชา ความสุขมันเกิดตอนทำสำเร็จแล้ว แต่ระหว่างทางอาจจะเหนื่อยแค่นั้นเอง
นั่งได้ทุกส่วนเบาะ
การปั่นเป็นเวลานานๆ ยิ่งขึ้นเขานานกว่า 1 ชั่วโมง ไม่มีใครไม่เมื่อยก้น หรือบั้นเอว หรือหากออกแรงหนักในท่าซ้ำๆ ก็เสี่ยงการเกิดตะคริวจากการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ โปรต่างๆ ในเวปไซต์จักรยานทั้งหลายแนะนำว่า สำหรับคนตัวเล็กตัวสั้น ควรเพิ่มพลังจังหวะเหยียดส่งแรงไปที่บันได ด้วยกลายเถิบไปนั่งปลายเบาะและถีบเรือเป็ด ท่านี้จะทำให้เกิด friction เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักตัวเราที่กดลงไปบนเบาะเอนไปทางล้อหลัง ผิวหน้าสัมผัสของยางกับพื้นถนนจะพาให้ทรงตัวได้ง่ายขึ้นและความเร็วเพิ่มขึ้น และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆก็ผ่อนคลายมากขึ้น
สำหรับคนตัวใหญ่หรือลำตัวยาว ให้เถิบมานั่งที่ปลายเบาะด้านหน้าเพื่อเน้นจังหวะดึงบันได เพื่อใช้ friction ที่ล้อหน้าเป็นตัวช่วยพาขึ้นเขา เอามือกดลงที่แฮนด์ลงไปตรงๆ แต่ไม่เกร็งท่อนแขน ปั่นท่านี้สำหรับคนตัวยาวๆ จะช่วยลดการเมื่อยล้าที่ไหล่หลังได้
ส่วนซินดี้เป็นคนตัวเล็กซ้อมมาทั้งสองท่า ... จึงใช้สลับกันไป ไม่ทำให้กล้ามเนื้อขาหรือจุดกดทับใดทำงานหนักเกินตัว....
จู่โจมก่อนบ้างอย่าให้มันตัดกำลังฝ่ายเดียว
ด้วยประสบการณ์น้อยๆ ของเรา ที่ผ่านมาก็จะขึ้นเขาแบบติ๋มๆ ตลอด ปล่อยให้ความชันข้างหน้าตัดแรงแขนขาเราลงไป แต่เพราะภูทับเบิกมันเป็นพับ พับเยอะมาก พอปั่นพ้นไปประมาณเกือบๆ ครึ่งทางก็จับไต๋ได้ เฮ้ย!!! มันชันพับใน (11 - 15%) แต่ถ้าพ้นไปเราได้ recovery (7-8 %) นะ เราจึงเริ่มจู่โจมบ้าง.... เราจะไม่ทนต่อไปอีกล้าววววว เมิฟจะบินข้ามขอบโค้งไปเลย!!! จากนั้นก็เริ่มจู่โจมจริงๆ จากที่เลี้ยงรอบขาเลื้อยออกนอกลู่-นอกเลน ก็ใช้ท่าโยกที่ซ้อมในฝันมาเมื่อคืน ตัดพับในขึ้นไปเลย คราวนี้พี่เริ่มมันส์ เริ่มสนุกมาก เฮ้ย เราโยกได้เว้ยยยยย เริ่มมีความเป็นโปร 5555
พอจับจังหวะได้แล้วก็ไม่ปวดหน้าขาจริงๆ มันต้องงี้สิ เมิฟน้อยเต้นระบำ... สนุกมากกกกกก
ยิ่งขึ้นที่สูงยิ่ง ทะลุหมอกขึ้นไป อากาศเย็นลง หัวใจ recovery ได้ไวขึ้นอีก
โยกแบบถูกท่าได้แล้วดีใจมากค่ะ และจะไม่มีอะไรมาหยุดความมันส์นี้ได้!!! มันส์!! มันส์โว้ยยยยย!!
และ time ahead ก็เพิ่มมาเป็น 5 นาที ด้วยท่าสมทรงเต้นระบำ....
ที่สุดความฟิน คือ ทำได้ดีกว่าที่ซ้อมมา
ไม่ต้องมีโพเดี้ยม
ไม่ใช่งานแข่ง
ไม่มีถ้วยรางวัลอะไร
มีความเจ็บปวดเสมอ ร้องไห้ทำมัยยยยยยย

pic credit อีตาซ้งกี้ถ่ายรูปเมิฟจะร้องไห้!!! เหนื่อยยย!!! ยังวิ่งมาเกรียนอีก!
โอเค พี่ภาษแอบทำเหรียญผู้พิชิตมาเซอร์ไพร์ซทุกคนที่ขึ้นมาถึงยอด ซึ้งมากกกกกก (ขนาดสนิทกับพวกสตาฟยังไม่รู้เลย)
ที่ดีใจ คือ เราสามารถทำได้ ตามความตั้งใจของเรา และลบคำสบประสาทของคนบางคน ที่ไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ และเราจะไม่เอ่ยถึงมัน...

เพราะมันคือเวลาที่ดีกว่าที่ตั้งใจไว้ถึง 7 นาที!!!!!

เพราะมันคือเวลาที่ดีกว่าที่ตั้งใจไว้ถึง 7 นาที!!!!!
แข่งกับตัวเองเท่านั้น และคุณทุกคนคือผู้ชนะ!!

ความรู้สึกดีที่ได้แค่ปั่นจักรยานที่รักก็กลับมาอีกครั้ง แข่งกับตัวเองเท่านั้น และคุณทุกคนคือผู้ชนะ!!
โฉมหน้าทีมดาด้าพาทะลุมิติ ขอบคุณมากค่ะ

จบทริปแล้ววว กลับบ้านได้
.....พื้นที่ขอบคุณ.....
จบทริปปั่นขึ้นภูทับเบิกครั้งแรกในชีวาส เอ้ย! ชีวิต ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 53 นาที ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ (วางแผนขอจบ 2 ชั่วโมง) จร้าา งานนี้ต้องขอขอบคุณ
- โค้ชพี่กบ โกบี้อาคาเดมี่ สำหรับตารางซ้อมแสนสนุกกระตุกดาร์ก Amorntep Kobee Wannaprasat พี่โจโจ้ที่ปรึกษาที่คอยแนะนำการปั่นอยู่เสมอ Jojo Gateravee Phairojchaiyakul
- ขอบคุณเหล่าสตาฟ #Endomondo Cycling Thailand พี่เจน Waraporn Kaewmukdachot พี่ต้น Ton Kurobutakung พี่แอม Amm Mimi พี่เป็ด Rungsan Ped พี่ภาษ Pad Punk Petchkoom ท่านปลาทานกอล์ฟ Khomkrit G. Sirirux พี่แป้ง Ketrapee Sahutchot ทีมมดตะนอย และพี่ๆหลังบ้านทั้งหลาย
- ขอบคุณพี่ภาษ #Aeroride กับชุดสวยๆ มาให้น้องๆ แต่งตัวซ้อม
- ขอบคุณพี่ดาพี่กี้พี่ตู้ WL กับการเดินทางข้ามมิติอันหฤหรรษ์ Soraphon Bunjongrajasena DaDa BaBa Nattanicha Wattana
- ขอบคุณมิตรภาพจากเพื่อนๆทุกทีม สมาชิกเอ็นม่อนโด้ กทม. เจียงฮาย @เหนี NoiNar Chatsuda ขอบคุณสำหรับขนมนะคะะ สุพรรณ ชลบุรี เหนือใต้ ออกตก
- ขอบคุณ #Bkool เทรนเนอร์หรรษาที่ทำให้ได้ซ้อมทางเขา แม้เราจะมีเพียงแต่ถ้ำเก่าๆ ไว้ซุกหัวนอน แต่เราก็ซ้อมอย่างสนุกได้ถ้ารู้จักทำให้ให้มันสนุกนะ ขอบคุณพี่วีระ Veera Pornpipatkul
- ขอบคุณ Dever Energy Gel
- ขอบคุณๆๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พาพวกเรามาเจอกัน
#มันเป็นทริปที่โคตรฟิน #มาพักผ่อนห้องโคตรหรู #ทางปั่นสุดสวยฟินทั้งขึ้นและลง
#ที่สุดของสังคมเพื่อนนักปั่น #เอ็นโดเรม่อนโด้ #CyclingObsession
และคนอื่นๆ ที่ไม่ได้พูดถึง ที่เราพบเจอกัน ขอขอบคุณจริงๆ จากใจ ค่ะ
ขอบคุณครับ
ตอบลบ